การเลี้ยงกบในประเทศไทย
บทความ > การเลี้ยงกบ
การเลี้ยงกบในประเทศไทย
กบเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถทำให้เกษตรกรหรือผู้เลี้ยงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้คุณภาพของชีวิตและความเป็นอยู่อย่าง ภาคภูมิใจ กบในเมืองไทยเรานั้นมีอยู่ด้วยกัน หลายชนิดหลายสายพันธุ์ โดยทาง หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการทดลงสาธิตการเลี้ยงกบในสวนผลไม้ ซึ่งมีท้องร่อง และคูระบายน้ำ ซึ่งมีลักษณะคล้ายสวน โดยทั่ว ไป ภายในโรงเพาะเลี้ยงจะประกอบไปด้วยลวดตาข่าย และติดหลอดไฟเอาไว้ล่อแมลง ในช่วงเวลาตอนกลางคืน
กบพันธ์ที่นำมาสาธิตในการทดลองนั้น
ก็คือกบนา กบทูต และกบบลูฟร็อก (พันธุ์ ประเทศ) อาหารที่ใช้เลี้ยง ส่วนใหญ่ก็เป็น พวกหนอน ไส้เดือน ลูกปลา อาหารไก่ขนต่าง ปลวก “กบนา” จะโตเต็มที่เมือมีอายุได้ 12-18 เดือน หรือประมาณ 2 ปีต้นๆ
“กบบลูฟร็อก” จะโตเต็มที่ภายใน 2 ปี ส่วนนำหนักตัวก็จะอยู่ประมาณกิโลครึ่ง จึงสรุปได้ว่าหากใช้ระยะเวลาการเลี้ยง 7-8 เดือน กบจะมีนำหนักโดยเฉลี่ย 200-300 กรัม/ตัว รูปแบบการเลี้ยงกบในเมืองไทย ก็จะมี อยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1.การเลี้ยงแบบครบวงจร
กบเลี้ยงในรูปแบบลักษณะดังนี้ ส่วน ใหญ่แล้วจะเป็นการเลี้ยงและการขยายพันธุ์ กบ เพื่อนำไปเป็นกบเนื้อ หรือเพาะลูกกบขาย แก่ผู้สนใจทีจะซื้อกบไปเลี้ยง การเลี้ยงกบ แบบนี้จะต้องมีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กบเอาไว้ ผสมพันธุ์ ปัญหาสำหรับการเลี้ยงกบแบบครบวงจรก็คือต้องใช้เวลาในการเลี้ยงที่ยาวนาน เพราะต้องเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ และเจริญเติบโตเต็มที่ 1 ปีถึงจะขยายพันธุ์ได้ ถ้าหากเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียแล้ว การ เลี้ยงกบในระยะยาวจะได้ประโยชน์และคุ้มทุนกว่า
2.การเลี้ยงกบแบบไม่ครบวงจร
การเลี้ยงแบบไม่ครบวงจรหรือการเลี้ยงแบบ “ขุนกบ” จะเกิดขึ้นในกลุ่ม เกษตรกรรายย่อยจะเป็นการเพาะเลี้ยง เฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น พันธุ์กบที่นำมา เลี้ยงก็จะจับมาจากแหล่งธรรมชาติหรือห้วยหนอง คลองบึง ส่วนใหญ่จะนำลูกกบที่มีอายุ ประมาณ 1 เดือน มาเลี้ยงจนมีอายุ 4-5 เดือน ถึงจะนำมาขายได้ ปัญหาก็มีอยู่ที่ตรงว่าจะหา ซื้อลูกกบจากแหล่งอื่น อีกปัญหาหนึ่งที่จะ ตามมาก็คือ ปัญหาในการขนส่ง อาจจะทำให้ กบมีสายพันธุ์อื่นมีปะปนมาด้วย และจะได้กบ ที่ไม่แข็งแรง มีเชื้อโรคติดระบาดมาในบ่อเลี้ยงด้วย
No comments