เทคนิคการเลี้ยงกบ
บทความ > การเลี้ยงกบ
เทคนิคการเลี้ยงกบด้วยวิธีการแบบง่ายๆ
อาชีพการเลี้ยงกบเป็นอาชีพที่เกษตรกรหลายคนมีความสนใจ เพราะเป็นอาชีพที่ สามารถทำเงินเลี้ยงครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง นอกจากอาชืพอื่น แต่ถ้าหากวิธีการเลี้ยงไม่มีประสบการณ์และขาดความรู้แล้ว อาชีพที่เราอยู่นั้นก็มักจะเจอแต่ปัญหา โอกาสที่จะก้าวหน้ามีน้อย
คุณนิมิต เรืองสกุล เกษตรกรหนุ่มรูป หล่อจากถิ่นที่ราบสูง แห่ง ปากอูน ต.ศรีสงคราม จ.นครพนม เพียงได้เลี้ยงกบมาได้แค่ 2 ปี แต่กลับสามารถฝ่าฟันเอาชนะกับการปรับปรุงสายพันธุ์กบอินเดียกับนิโกร จนประสบกับความสำเร็จ ตลอดรวมถึงการ ปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้มีความเหมาะสม ทำให้กบไม่เป็นโรค และยังได้กบที่มีสีสันงดงามตามที่ตลาดต้องการ โดยลักษณะของสีผิวจะออกสีเหลืองขาวไม่ดำ จึงดูสะอาดน่ารับประทาน ขายได้ทุกวันจนแทบไม่พอขาย จำนวนขายประมาณวันละ 150 กิโลกรัม ส่งผลให้มีรายได้ต่อเดือนได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของบ่อเลี้ยงกบของคุณนิมิต จะต่างจากปอธรรมชาติ โดยในแต่ละบ่อ จะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยดินและน้ำ ในอัตรา 60 ต่อ 40 ปกติจะเลี้ยงกบ 100 ตัว/ พื้นที่บ่อ 1 ตารางเมตร
ดินในบ่อจะเลือกใช้ดินสีเหลืองขาว ดังนั้นเมื่อกบปรับตัวคล้ายสีดิน จึงออกมาสีเหลืองสวย พ่อค้าแม่ค้าจะให้ราคาดี เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70 บาท สูงกว่ากบดำสีไม่สวยถึง กิโลกรัมละ 20 บาท
ในการเลี้ยงกบนั้น ผู้เลี้ยงจะต้องมี ความคำนึงถึงธรรมชาติกบด้วย ดังนั้นใน แต่ละบ่อจึงมีตาข่ายพรางแสงไม่ได้น้ำในบ่อนั้นร้อน ทางที่ดีควรปลูกผักบุ้งไว้ช่วยให้กบ อยู่อย่างสบายรวมทั้งจะต้องทำการคัดกบที่มีขนาดใกล้เคียงอยู่ในบ่อเดียวกันเพื่อป้องกัน ปัญหากบใหญ่กินกบเล็ก
สิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งของการ เลี้ยงกบก็คือความสะอาดของสถานที่ในบ่อเลี้ยง ดังนั้นบ่อเลี้ยงกบนั้นต้องสะอาดง่ายต่อ การดูแล คือมีขนาดกว้างคูณยาวประมาณ 3 คูณ 4 เมตร ส่วนการให้อาหารนั้นก็ให้บนพื้นดินได้เลยเพื่อป้องกันกับปัญหาน้ำสกปรก และจะต้อง มีการเปลี่ยนน้ำทุก ๆ 4 วัน รวมถึงการรักษา ระดับของบ่อน้ำในบ่อให้สูงประมาณ 25 เซนติเมตร จะช่วยในการเลี้ยงกบได้
นอกจากนี้คุณมานิต ยังได้เปิดเผย และ กล่าวต่อไปว่า ควรให้ยาถ่ายพยาธิกับพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์ก่อนที่จะมีการผสมพันธุ์กันไม่ เช่นนั้น ลูกอ๊อดอาจจะไม่แข็งแรง และจะมีพยาธิในตัวจนตายไปในที่สุด ผลจากความพยายามเรียนรู้และปรับปรุงอาหารกบอยู่เสมอ จึงทำให้คุณนิมิตได้รับรางวัลเกษตรการก้าวหน้า อันดับ 1 ของภาคอีสาน
No comments