โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน
บทความ > การเลี้ยงปลาน้ำจืด > การป้องกันและกำจัดโรค
โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน
โรคพยาธิใบไม้
พยาธิใบไม้ที่ทำให้เกิดโรคปลาพบทั้งตัวเต็มวัยและตัวอ่อน ตัวเต็มวัยของพยาธิใบไม้พบได้ในทางเดินอาหาร ภายในช่องท้อง ไม่ค่อย มีอันตรายเท่าใด ต่างกับตัวอ่อนซึ่งพบฝังตัวอยู่บริเวณเหงือก อวัยวะภายในต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อของเหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการกระฟุ้งแก้มเปิดอ้าอยู่ตลอดเวลา ว่ายน้ำทุรนทุราย พยาธิใบไม้ตัวอ่อนพบมากในปลาจีน
ปลาดุก ปลานิล ปลาสวาย
การป้องกันรักษา
1. ควรหลีกเลี้ยงการใช้ปุ๋ยคอก เพราะอาจมีไข่ของพยาธิใบไม้ติดมา หากจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยคอกควรตากให้แห้งเสียก่อน และควรกำจัดหอย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเสริมในการระบาดของพยาธิ โดยการตากบ่อให้แห้ง โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อในอัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากจับปลาแล้วทุกครั้ง
โรคที่เกดจากเชื้อแบคทีเรีย
โรคแผลตามลำตัว
เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย ในระยะเริ่มแรกจะทำให้ปลาที่มีเกล็ดหลุดออก ส่วนบริเวณรอบๆเกล็ดที่หลุดออกนั้นจะตั้งขึ้น หากเป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด บริเวณนั้นจะบวมและมีสีแดง ต่อจากนั้นผิวหนังจะเริ่มเปื่อยเป็นแผล ปลาที่พบเป็นโรคนี้ได้แก่ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาบู่ ฯลฯ
การป้องกันรักษา
1. ใช้ยาปฏิชีวนะจำพวกไนโตรฟูราโซน ในอัตราส่วน 1-2 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร แช่นาน 2-3 วัน
2. แช่ปลาที่เป็นโรคในสารละลายออกซีเตตร้าซัยคลิน ในอัตรา ส่วน 10-20 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร นาน 1-2 วันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง
3. ปลาที่เลี้ยงในบ่อและเริ่มมีอาการของโรค อาจผสมยาปฏิชีวนะกับอาหาร ในอัตรา 60-70 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักปลา 1 กิโลกรัม
4. ฆ่าเชื้อในบ่อโดยใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อ ในอัตรา 50-60 กิโลกรัมต่อไร่
สาตุที่ทำให้เกิดโรค
การขาดออกซิเจนในบ่อเลี้ยง
ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอมักจะว่ายน้ำเร็วกว่าปกติ กระวนกระวายพยายามกระโดออจากบ่อ หรือว่ายอยู่บริเวณใกล้ๆ ผิวน้ำและโผล่ส่วนปากขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อฮุบอากาศ
การขาดออกซิเจนในน้ำในบ่อเลี้ยงมักเกิดจากการเปลี่ยนน้ำ หรือ ให้อาหารมากเกินไป อาหารที่เหลือจะเกิดการเน่าเปื่อย และใช้ออกซิเจน มากทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง
การป้องกันการขาดออกซิเจนในบ่อเลี้ยงทำได้โดยการดูแลความสะอาดของบ่อ มีระบบการให้อากาศที่ดีและมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอยู่เสมอ
โดยดูดน้ำจากก้นบ่อออกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ นอกจากนี้เราไม่ควรเลี้ยงปลาหนาแน่นจนเกินควร
ความเป็นกรด-ด่างของน้ำ (pH)
การเป็นกรดหรือด่างเราวัดด้วยค่า pH ถ้า pH ต่ำแสดงว่าน้ำ มีสภาพเป็นกรด ถ้า pH เท่ากับ 7 แสดงว่าเป็นกลาง และถ้า pH สูงกว่า 7 แสดงว่าเป็นด่าง
ปลาแต่ละชนิดจะมีความทนทานต่อความเป็นกรด-ด่างของน้ำต่างกัน ปลาบางชนิดสามารถอยู่ได้ในน้ำที่เป็นกรดอ่อน แต่ส่วนมากปลาจะชอบน้ำที่เป็นกลาง หรือด่างอ่อนๆ หากน้ำมีสภาพเป็นกรดมาก เกินไปจะทำให้ปลามีผิวหนังซีดหรือขาวขุ่น นอกจากนี้ปลาจะพยายามฮุบอากาศและกระโดดออกจากบ่อ และท้ายที่สุดปลาก็จะตาย ดังนั้นเราควรตรวจสอบสภาพความเป็นกรด-ด่างของน้ำอยู่เสมอ การปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของน้ำเราทำได้โดยการใช้ปูนขาว ถ้าน้ำมีสภาพเป็นด่างมาก จะทำให้ครีบปลากร่อนและเกิดอาการระคายเคืองที่บริเวณเหงือก การป้องกันไม่ให้ pH ของน้ำสูงเกินไปทำได้โดย การควบคุมไม่ให้สีของน้ำในบ่อเขียวจัดจนเกินไป การที่น้ำมีสีเขียวจัด แสดงว่ามีการให้อาหารมากเกินไป ประกอบกับน้ำก้นบ่อไม่สะอาด ควรทำการถ่ายน้ำออกเสียบ้างแล้วเติมปูนขาวในอัตรา 50-60 กิโลกรัมต่อเนื้อที่ 1 ไร่ และก็ควบคุมการให้อาหารด้วย และไม่ควรเลี้ยงปลาหนาแน่นเกินไป
ข้อควรจำในการใช้ยา
ฟอร์มาลิน ควรใช้ในบ่อที่มีน้ำไม่เขียวจัด และควรใส่ยาชนิดนี้ตอนเช้าจะดีกว่าตอนเย็น หากจำเป็นต้องใช้ฟอร์มาลินในบ่อที่มีน้ำเขียวจัด ควรถ่ายน้ำออกจากพื้นบ่อประมาณหนึ่งในสามของระดับน้ำลึก แล้วเติมน้ำใส่ยาเนื่องจากฟอร์มาลินจะทำให้พืชน้ำเล็กๆตาย อาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในบ่อ
เกลือ การให้เกลือเราต้องระวังความเค็มที่เพิ่มขึ้นในน้ำ ปลาอาจปรับตัวไม่ทันเมื่อเราคำนวณได้ก็ให้แบ่งเกลือออกเป็นสามส่วน แล้วเริ่มใส่เกลือส่วนแรกลงในบ่อ ดูอาการสักระยะประมาณ 1 ชั่วโมงจึงใส่ส่วนที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
เมทธีลีนบลู และด่างทับทิม ควรใช้กับปลาที่เลี้ยงบ่อปูนเท่านั้น
มาลาไค้ท์กรีน เป็นสารเคมีที่อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้ จึงควรระวังอย่าสัมผัสกับยาชนิดนี้ และไม่ควรใช้กับปลาที่นำมาบริโภค
No comments